ทอง 9k, 14k และ 18k ความแตกต่างที่รังสรรค์เครื่องประดับได้หลากหลายรูปแบบ

ทอง 9k, 14k และ 18k ความแตกต่างที่รังสรรค์เครื่องประดับได้หลากหลายรูปแบบ

เครื่องประดับทองนั้นได้รับความนิยมไปทั่วโลก แต่ละพื้นที่มีความนิยมนำวัสดุล้ำค่านี้มาสร้างสรรค์เป็นชิ้นงานอันน่าสนใจหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นสร้อยคอ แหวน กำไล หรือแม้แต่ กระดุมแขนเสื้อ (Cufflinks) และแน่นอนว่าทองแต่ละประเภทนั้นมีความแตกต่างกัน นำมาซึ่งราคาที่แตกต่างกันตามไปด้วย วันนี้ทาง bound by oath จะพาทุกคนไปทำความเข้าใจว่าตัวเลขที่ระบุจำนวนเหล่านี้บ่งบอกถึงอะไร และทำไมถึงมีราคาต่างกันเป็นเท่าตัว

Pureness is key

กุญแจสำคัญในการไขรหัสของตัวเลขหน้าอักษร k หรือ ct นั้นคือความบริสุทธิ์ของทองนั่นเองครับ สำหรับตัวอักษร k (Karat) หรือ ct (Carat) ที่ใช้ระบุความแตกต่างความบริสุทธิ์ของทอง หน่วยกะรัตนี้เป็นหน่วยชี้วัดความบริสุทธิ์สากลที่ใช้แบ่งระดับขั้นของทองอย่างชัดเจน โดยแต่ละระดับจะแบ่งได้ดังนี้ครับ

ทอง 9k คือทองคำบริสุทธ์ 37.5%
ทอง 10k คือทองคำบริสุทธิ์ 41.6%
ทอง 14k คือทองคำบริสุทธิ์ 58.3%
ทอง 18k คือทองคำบริสุทธิ์ 75%
ทอง 22k คือทองคำบริสุทธิ์ 91.6%
ทอง 24k คือทองคำบริสุทธิ์ 100 หรือ 99.99%

หลายคนอาจตั้งคำถามว่าทองคำที่มีความบริสุทธิ์มากที่สุดย่อมดีที่สุดในการทำเครื่องประดับใช่หรือไม่ คำตอบคือทั้งใช่และไม่ใช่ในเวลาเดียวกัน เพราะแม้ทองคำบริสุทธิ์จะให้ความสวยงามสะท้อนมูลค่าความหรูหราออกมาได้อย่างเต็มที่ แต่ทองคำบริสุทธิ์ 100% อย่างทอง 24k นั้นมีความอ่อนเกินกว่าจะนำมาทำเครื่องประดับ ซึ่งถึงอย่างไรก็ต้องผสมกับวัสดุอื่นเพื่อเพิ่มความแข็งจนสามารถขึ้นรูปได้อย่างดี ดังนั้นเราสามารถเห็นเครื่องประดับทองหลากหลายระดับบริสุทธิ์

ความบริสุทธิ์ทั่วโลกไล่ตั้งแต่ 8k ในยุโรป 9k ในอังกฤษและออสเตรเลีย 10k ในสหรัฐอเมริกา 14k ในเอเชีย และสำหรับทอง 18k และ 22k คือทองคำที่มีความบริสุทธิ์สูงถือเป็นวัสดุล้ำค่าในการรังสรรค์เครื่องประดับระดับสูงมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก

Hardness ≠ Durability

ความแข็งกับความทนทานที่มีความแตกต่างกันเราจะเห็นว่าทองที่มีเปอร์เซ็นต์ความบริสุทธิ์ต่ำกว่ามักจะแข็งมากกว่าแต่ไม่ได้ทนทานเท่าทองที่มีความบริสุทธิ์สูงกว่า ยกตัวอย่างเช่นทอง 9k มีความเปราะบางและเกิดรอยขีดข่วนได้ยากกว่าเมื่อเทียบกับทอง 18k หรือ 22k แต่ทองที่มีความบริสุทธิ์มากกว่าจะเกิดความหมองบนตัวเรือนและถูกกัดกร่อนได้ยากกว่า ดังนั้นด้วยเหตุผลข้อนี้จึงทำให้ผู้คนนิยมเลือกทองที่มีความบริสุทธิ์มากกว่ามาทำเครื่องประดับเนื่องจากสามารถสวมใส่ได้ทุกวันโดยคงสภาพความสวยงามของมันไว้อย่างหมดจดเป็นเวลานาน ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งานของผู้สวมใส่

*ส่วนผสมอื่นๆ มีผลต่อความแข็งแรงของเครื่องประดับด้วยเช่นกัน

Colour is matter

สีคืออีกหนึ่งจุดสำคัญที่ผู้เลือกซื้อควรสังเกต หลายคนอาจจะมองข้ามรายละเอียดสำคัญนี้ไปอย่างน่าตกใจ แต่ถ้าหากลองมองถึงความแตกต่างจะเห็นได้อย่างชัดเจนเพราะทอง 9k นั้นจะไม่ประกายแสงความสวยงามของมันออกมาได้เท่ากับทอง 14k/18k หรือมากกว่านั้น สีของทองบริสุทธิ์กว่าจะมีความเหลืองทองลักษณะใกล้เคียงกับทองคำแท่งบริสุทธิ์ 99.99% มากที่สุด เนื่องจากเป็นเนื้อทองที่มีการผสมโลหะอื่นๆ เข้าไปน้อยกว่า ทำให้ขับสีทองออกมาเด่นชัดมากกว่า เพราะฉะนั้นหากใครต้องการเครื่องประดับที่สะท้อนคุณภาพของความเป็นทองออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุดก็ควรเลือกทองตั้งแต่ 14k ขึ้นไปครับ บางประเทศเรื่องสีกับความบริสุทธิ์สัมพันธ์กันอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่นประเทศสหรัฐอเมริกามองว่าทองน้อยกว่า 10k ลงไปไม่สามารถซื้อขายเป็นทองแท้ได้ เพราะด้วยคุณสมบัติของมันไม่สามารถแสดงถึงเนื้อแท้ทองคำได้อย่างเต็มที่นั่นเอง

Popularity & Customer’s Choices

เมื่อพูดถึงความนิยมต้องบอกว่าแต่ลประเทศในโลกนิยมเครื่องประดับในระดับความบริสุทธิ์ที่แตกต่างกันพอสมควรครับ เพราะฉะนั้นหากต้องการเครื่องประดับทองสักชิ้นเราจึงยึดถือความนิยมของคนส่วนใหญ่เหนือความต้องการของเราเองไม่ได้ครับ เพราะเรื่องสีและความสวยงามของตัวเรือนสอดคล้องกับเรื่องงบประมาณ ประกอบกับรูปแบบการใช้งานว่าผู้ซื้อต้องการเครื่องประดับรูปแบบใด จะใส่แบบเครื่องประดับแฟชั่น หรือใช้เป็นเครื่องประดับล้ำค่าที่สวมใส่ประจำตัว ความละเอียดและคุณภาพที่ต้องการ รวมถึงอีกหลายปัจจัยที่ทุกคนสร้างสรรค์ขึ้นเอง ดังนั้นเครื่องประดับทองไม่ว่าจะเป็น 9k, 14k, 18k, หรือ 22k นอกจากจะเป็นเครื่องประดับอันมีมูลค่ายังเป็นเครื่องสะท้อนตัวตนและรูปแบบไลฟ์สไตล์ของตัวเองอีกด้วยครับ เพราะฉะนั้นขอให้เลือกทองที่เหมาะสมกับตัวเรามากที่สุด ความหรูหราไม่ใช่คำตอบเดียว แต่ความใส่ใจในการเลือกสรรค์คือคำตอบที่สมบูรณ์แบบที่สุดแน่นอนครับ

Back to blog